วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

RTX 2080 TI


GeForce RTX 20 Series คืออะไร?

สำหรับการ์ดจอเพื่อคอเกมตระกูลใหม่จากทาง NVIDIA จะมีการใช้ชื่อเรียกใหม่ “GeForce RTX 20 Series” ซึ่งจะมาพร้อมกับ GPU ภายใต้รหัสพัฒนาที่ชื่อว่า “NVIDIA TURING” ซึ่งจะเป็น GPU ที่เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ มีความแตกต่างไปจาก Pascal (GTX 10 Series) อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะโครงสร้างภายในของตัว GPU, จำนวนทรานซิสเตอร์ และขนาดของกระบวนการผลิต โดย NVIDIA TURING จะมาพร้อมกับชิบประมวลผลที่มีจำนวนทรานซิสเตอร์มากถึง 18,600 ล้านตัว มีขนาดพื้นที่ของ DIE ใหญ่โตถึง 



754 mm² ซึ่งทาง NVIDIA ระบุว่าเป็นชิบที่ใหญ่ที่สุดและมีจำนวนทรานซิสเตอร์มากที่สุดเป็นลำดับที่สองจากชิบทั้งหมดที่เคยมีมา ซึ่งหากทำการเปรียบเทียบกับ Pascal นั้นตัวชิบจะมีจำนวนทรานซิสเตอร์เพียง 11,800 ล้านตัวและมีขนาดพื้นที่เพียง 471 mm² เท่านั้น เรียกว่าใหญ่ขึ้นเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว และสิ่งหนึ่งที่ทำให้มันสามารถบรรจุจำนวนของทรานซิสเตอร์ได้มากขึ้น ทำงานด้วยความเร็วที่สูงขึ้นก็คือขนาดของกระบวนการผลิตที่ TURING จะมาพร้อมกับกระบวนการผลิตในขนาด 12nm+ นั่นเอง
นอกจากจำนวนของทรานซิสเตอร์จะมากขึ้น กระบวนการผลิตที่เล็กลง ในส่วนของโครงสร้างชิบเองก็มีการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เช่นกัน และไฮไลท์ของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะตกอยู่ที่รูปแบบการทำงานแบบใหม่ที่ทาง NVIDIA มีการแบ่งส่วนของ GPU ออกเป็นสามส่วนหลัก ๆ ได้แก่
  • Tensor Core
  • RT Core
  • Shader | Compute

Ray Tracing (RT Core or RTX Technology)

สำหรับในจุดที่ดูเหมือนว่าทาง NVIDIA จะใช้เป็นตัวชูโรงหรือพระเอกหลักของ TURING GPU ก็คือในส่วนของ RT Core หรือ Ray Tracing ซึ่งในส่วนนี้มันจะทำหน้าที่ ที่ขยายความง่าย ๆ ได้ว่ามันคือส่วนของ GPU ที่ทำหน้าที่ในการประมวลผล แสง-เงา โดยเฉพาะ และจากในงานแถลงข่าวทาง NVIDIA ก็ได้ระบุว่า มันจะทำหน้าที่ประมวลผลเรื่องของแสงตกกระทบให้มีความสมจริงมากยิ่งขึ้น มีความใกล้เคียงกับโลกแห่งความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น ทำให้วัตถุมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น ได้มิติมากยิ่งขึ้น และสำหรับความสามารถของเจ้า RT Core ตรงนี้หากเปรียบเทียบกับ Pascal GPU หรือ GTX 1080 Ti สำหรับการ์ดโมเดลท็อปในเวลานี้มันจะมีความสามารถในการประมวลผลแสงเงาได้เพียง 1.21 GigaRay เท่านั้น ในขณะที่ TURING GPU ที่มี RT Core เสริมทัพเข้ามา มันจะมีความสามารถในการประมวลผลแสงเงาได้มากถึง 10 GigaRay เลยทีเดียวหรือเทียบเป็นสัดส่วนเกือบ 10 เท่าตัวเลยทีเดียว และหากเปรียบเทียบกับ GTX Titan XP นั้น GTX 2080 Ti มีความสามารถที่เหนือกว่ามากถึง 5 เท่าตัว สำหรับในส่วนของความสามารถของเจ้า Ray Tracker หรือ RT Core ตรงนี้ทาง NVIDIA ก็มี DEMO มาให้ได้ชมกัน ซึ่งสามารถรับชมได้จากคลิปวิดีโอด้านล่างเลยนะครับ
จากที่บอกไปว่า RT Core หรือ Ray Tracing มันคือการประมวลผลแสงเงานั้น มันจะยังมีความเหนือชั้นตรงที่ว่า มันจะสามารถทำการตรวจสอบและประมวลผลเรื่องของแสงบนพื้นผิว เรื่องการตกกระทบของเงาบนพื้นผิวได้ในระดับ Real Time หรือตลอดเวลาอีกด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาเสริมเขี้ยวเล็บให้กับ NVIDIA ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ เลยละครับ เพราะมันจะทำให้การเล่นเกมได้อัถรสมากยิ่งขึ้น มีความสมจริงมากยิ่งขึ้น และตัวอย่างที่น่าสนใจก็เห็นจะเป็นเกมใหม่ที่หลาย ๆ คนกำลังรอคอยอย่าง Battlefield V ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเกมฟอร์มยักษ์ที่พร้อมรองรับเทคโนโลยี RTX Technology จากทาง NVIDIA
ไม่เพียงแค่เฉพาะเกมใหม่ที่ยังไม่เปิดตัวหรือเกมฟอร์มยักษ์อย่าง BF5 เท่านั้น แต่ยังมีเกมอื่น ๆ อีกมากมายหลายเกมที่จะพร้อมรองรับเทคโนโลยี RTX ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึง PUBG เกมยอดฮิตในเวลานี้ด้วยเช่นกัน

Tensor Core

สำหรับตัว Tensor Core ในตัว GPU นั้นเป็นการยืมหรือนำเทคโนโลยีขั้นสูงจาก GPU ในตระกูล Volta มาใช้งาน โดยตัว Tensor Core สามารถพูดง่าย ๆ ได้ว่ามันคือ AI (Artificial intelligence) และ Neural networking ซึ่งมันจะมีหน้าที่หรือทำหน้าที่คอยเรียนรู้การทำงานกระบวนการของการเรนเดอร์เพื่อทำการปรับปรุงว่าจะต้องทำอย่างไรให้การเรนเดอร์ให้ภาพออกมาดูดีที่สุด เหมือน ๆ กับที่มีใช้งานอยู่ใน Supercomputer นอกจากนี้ทาง NVIDIA หรือ CEO ของ NVIDIA ยังกล่าวอีกด้วยว่า มันจะยังทำหน้าที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างชิ้นงานในภาพได้อีกด้วย โดยได้มีการยกตัวอย่างว่า หากตัวชิ้นงานในภาพถูกแบ่งงานออกเป็น 10 ส่วนหรือ 10 ลังและในแต่ละลังมีลังย่อยอีก 10 ลังเล็ก และเจ้า Tensor Core จะเข้าไปตรวจสอบชิ้นงานจากลังใดลังหนึ่ง โดยที่อีก 9 ลังที่เหลือไม่จำเป็นต้องดูก็ได้ เพราะด้วยความเป็น Ai มันจะสามารถคาดเดาหรือวิเคราะห์ได้เองว่า ชิ้นส่วนประกอบของภาพหรือชิ้นงานที่เหลือจะเป็นอย่างไร ต้องมีอะไรมาต่อรวมกันถึงจะกลายเป็นชิ้นงานตามหน้าตาที่ต้องการ

Shader | Compute

ในส่วนของชุด Shader Engine และ Compute unit นั้นทาง NVIDIA ไม่ได้มีการเน้นถึงข้อมูลในส่วนนี้มากนักว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ อะไรบ้าง ซึ่งหากดูจากความสามารถในการประมวลผลนั้นมันก็จะสามารถทำได้ดีกว่า Pascal เล็กน้อยเท่านั้นเอง โดยที่ Pascal มีความสามารถประมวลผลได้สูงสุด 13 TFlops ขณะที่ TURING ประมวลผลได้ที่ 16 TFlops

New Memory – GDDR6

ไม่เพียงแค่ตัว GPU เท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง ในส่วนของตัวแรมของการ์ดเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดย NVIDIA GeForce RTX 2080 Ti, RTX 2080 และ RTX 2070 มันจะมาพร้อมกับแรมในแบบ GDDR6 ในขนาดความจุ 11GB 352-bit ด้วยความเร็ว 14Gbps สามารถให้แบนด์วิดท์สูงสุดได้มากถึง 616 GB/s ส่วนในโมเดล RTX 2080 และ 2070 จะมาพร้อมกับแรมในขนาด 8GB 256-bit ความเร็ว 14Gbps เช่นเดียวกัน และให้ผลรวมของแบนด์วิดท์ทั้งหมดสูงสุดที่ 448GB/s ทั้งนี้ในส่วนของรายละเอียดโครงสร้างและความพิเศษเกี่ยวกับความเป็น GDDR6 ยังไม่มีการให้ข้อมูลเชิงลึกใด ๆ คงต้องรอชมกันอีกครั้งในวันปล่อยการืดออกสู่ตลาดในวันที่ 20 กันยายนนี้

8K@60Hz HDR & USB Type-C port

อีกหนึ่งจุดที่ทำให้ GeForce RTX 20 Series มีความน่าสนใจไม่แพ้กับพลังความแรงของตัว GPU ที่มีความทรงพลังขึ้นก็เห็นจะเป็นความสามารถในการรองรับความละเอียดของการแสดงผล โดยที่ตัวการ์ดจะมาพร้อมกับ DisplayPort มาตรฐานล่าสุดสำหรับ DisplayPort 1.4 ทำให้การ์ดในตระกูล RTX 20 Series สามารถรองรับการแสดงผลได้ด้วยความละเอียดในระดับ 8K 60Hz HDR ด้วยการใช้สายต่อจอเพียงเส้นเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ทาง NVIDIA ยังมีการเพิ่มพอร์ทแสดงผลที่เป็น USB Type-C ให้ได้ใช้งานด้วยเช่นกัน
สำหรับพอร์ท USB Type-C ที่เพิ่มเข้ามาตรงนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการให้ข้อมูลในเชิงลึกมากนัก แต่ถ้าหากมองจากข้อมูลตามที่ทาง NVIDIA แจ้งมานั้น หลัก ๆ แล้วเป็นการใส่เพิ่มเข้ามาเพื่อรองรับกับมาตรฐานการเชื่อมต่อในอนาคตที่เรียกว่า VirtualLink ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดที่อยู่ในขั้นของการพัฒนาเพื่อให้สามารถจ่ายพลังงานได้มากพอ, แสดงผลได้ในระดับที่ต้องการและมีแบนด์วิดท์ที่มากพอ สำหรับการใช้งานร่วมกับแว่น VR ในเจเนเรชันถัดไปที่จะมีการเชื่อมต่อผ่าน USB Type-C เพียงเส้นเดียว และถ้าหากมองถึง ณ ปัจจุบันนี้ตัวจอภาพเองเราก็เริ่มพบเห็นบ้างแล้วว่า มีจอที่มาพร้อมกับพอร์ท USB Type-C สำหรับโหมดแสดงผลบ้างแล้วเช่นกัน ซึ่งในจุดนี้เราคงต้องรอดูข้อมูลที่ชัดเจนเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป

GeForce GTX 20 Series Spec

RTX 2080 Ti FERTX 2080 TiRTX 2080 FERTX 2080RTX 2070 FERTX 2070
GPU Spec
CUDA Cores435243522944294423042304
Boot Clock(MHz)163515451800171017101620
Base Clock(MHz)135013501515151514101410
Memory Spec
Memory Speed14Gbps14Gbps14Gbps14Gbps14Gbps14Gbps
Memory Config11GB GDDR611GB GDDR68GB GDDR68GB GDDR68GB GDDR68GB GDDR6
Bus width352-bit352-bit256-bit256-bit256-bit256-bit
Bandwidth (GB/s)616GB/s616GB/s448GB/s448GB/s448GB/s448GB/s
Card Power (W)260W250W225W215W185W175W
Power Connect8+8pin8+8pin8+6pin8+6pin8pin8pin
Price (USD)$1,199$999$799$699$599$499

สำหรับตัวสเป็คโดยคร่าวของการ์ดในตระกูล RTX 20 Series ที่มีออกมาให้ได้เลือกจับจองเป็นเจ้าของในเวลานี้จะมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 โมเดลคือ RTX 2080 Ti, RTX 2080 และ RTX 2070 และนอกจากนี้ทาง NVIDIA เองก็จะมีให้ได้เลือกใช้งานสองรูปแบบด้วยกันคือ ในแบบโอเวอร์คล๊อกจากโรงงานและในแบบเดิม ๆ ซึ่งการ์ดในเวอร์ชันโอเวอร์คล๊อกจะมีชื่อเรียกแบบเป็นทางการว่า Founder Edition นั่นเอง แตกต่างไปจากการมาของ GTX 10 Series ที่ความหมายของ FE หรือ Founder Edition คือการ์ด Ref หรือการ์ดมาตรฐานจากโรงงาน แต่ในครั้งนี้จะกลายเป็นว่าหากมาในรหัส FE มันคือ “Overclock Edition” แทน สำหรับตัวสเป็คหรือความเร็วในการทำงานของตัว GPU ก็จะมีความแตกต่างกันตามที่ปรากฏอยู่ในตารางข้างต้น รวมทั้งค่าระดับการใช้พลังงานสูงสุด ที่คราวนี้ทาง NVIDIA ไม่ได้มีการระบุมาในลักษณะของ TDP อีกต่อไป หากแต่มาในรูปของระดับการใช้พลังงานรวมของการ์ดทั้งใบแทน และเมื่อมองจากระดับของการใช้พลังงานแล้วนั้นถือว่ามีความใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับ GTX 10 Series ในระดับเดียวกันเลยละครับ

Price : ราคา

ในส่วนของราคาค่าตัวนั้น ตรงนี้สร้างความสับสนให้กับคอเกมและรวมถึงตัวผมเองพอสมควร เนื่องจากว่าทาง NVIDIA จะมีตัวเลือกที่แตกต่างกันระหว่าง FE และ Ref ซึ่งตามที่ทาง NVIDIA ประกาศออกมาผ่านทางหน้าเว็บไซด์ของตนเอง และมีการเปิดให้สั่งจองล่วงหน้านั้น จะเป็นการ์ดในเวอร์ชัน Founder Edition โดยการ์ดในแต่รุ่นจะมีรายละเอียดของราคาตามในภาพด้านล่าง
ทั้งนี้สำหรับราคาที่เห็นด้านบนคือราคาของการ์ดในเวอร์ชัน FE หรือ Overclock Edition และหากเป็นการ์ดในเเวอร์ชัน Reference หรือ Ref จะมีราคาเริ่มต้นที่ $499US เท่านั้นสำหรับ RTX 2070 ซึ่งราคาข้างต้นที่ระบุว่าเริ่มต้น $499US หรือหากคิดเป็นเงินไทยก็จะอยู่ที่ช่วงประมาณ 16,xxx บาทนั้นเป็นเพียงราคาแนะนำหรือ SRP จากทาง NVIDIA เท่านั้นและเป็นราคาใน USA นะครับ ไม่ใช่ราคาจำหน่ายจริงในตลาดบ้านเรา
หากสรุปราคาโดยประมาณที่คาดว่าน่าจะเป็นราคาที่เราคงจะได้เห็นกันจริง ๆ ในตลาดบ้านเรานั้น คงจะมีราคาพอ ๆ กันกับการ์ดในเวอร์ชัน FE หรือ Overclock Edition และบางทีอาจจะมีราคาค่าตัวที่สูงกว่าด้วยซ้ำ เพราะจากข้อมูลของผู้ผลิตรายต่าง ๆ ได้ทำการอัพเดทผ่านหน้าเว็บไซด์ของตนเองนั้น ยังไม่ปรากฏให้เห็นการ์ดในแบบ Reference Design หรือ Ref เลยมีแต่ในแบบ non-Ref ทั้งหมด

RTX 20 Series Release date – วางจำหน่าย

วันเปิดตัวหรือวันปล่อยตัวออกสู่ตลาดอย่างเป็นทางการของ GeForce RTX 20 Series ทั้งสามรุ่นทาง NVIDIA ได้มีการแจ้งเอาไว้ชัดเจนว่าทั้งหมดจะได้พบกันในวันที่ 20 กันยนยนศกนี้ ซึ่งก็จะรวมถึงผู้ที่ได้ทำการสั่งจองล่วงหน้าเอาไว้เช่นเดียวกัน

Conclusion – บทสรุป

จากข้อมูลทั้งหมดตามที่ทาง NVIDIA ได้ออกมาเปิดเผยในครั้งนี้ หรือกับการออกมาเปิดตัวในเวอร์ชันเพาเวอร์พอยด์แต่ยังไม่มีการเผยข้อมูลเกี่ยวกับความแรงหรือบททดสอบใด ๆ ให้เห็น มีเพียงตัวอย่างเกมที่เล่นให้ดูในระดับ 4K และสามารถเลี้ยงเฟรมเรตเอาไว้ได้ในระดับ 60FPS ตลอดเวลา และจากข้อมูลที่ได้รับ โดยรวมแล้วถือว่าการมาของ TURING GPU จากทาง NVIDIA ในครั้งนี้มีความน่าสนใจหลายอย่างเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทคโนโลยีใหม่ที่มีการคิดค้นและพัฒนามมายาวนานกว่า 10 ปี สำหรับ Ray Tracing หรือ RTX ซึ่งกลายเป็นที่มาของการเปลี่ยนจาก GTX สู่ RTX ในครั้งนี้อีกด้วย และจากที่มีการบรรยายขยายความเอาไว้ในแบบสั้น ๆ จากข้างต้น ว่ามันคือส่วนของการประมวลผลเกี่ยวกับแสง เงา ที่สามารถวิเคราะห์ได้ในระดับ Real-Time ในเรื่องของแสงตกกระทบกับพื้นผิวของวัตถุ ที่จะช่วยให้ได้ภาพสวยงามสมจริงมากยิ่งขึ้น และยังรวมถึง Tensor Core ที่เป็นการผนวกเอาความสามารถด้าน AI เข้ามาไว้ในชิปกราฟิกเพื่อช่วยในการประมวลผลและเรียบรู้เพื่อปรับเปลี่ยน ปรับปรุงการทำงาของตัว GPU ให้มีความสามารถดียิ่งขึ้น และจากสองจุดนี้ทาง NVIDIA ก็บอกเพียงแค่ว่ามันสามารถทำงานได้ดีกว่า GTX 1080 Ti มากเกือบ 10 เท่า แต่ยังไม่มีการพูดถึงว่ามันจะแรงกว่า GTX 1080 Ti กี่เปอร์เซ็นต์ในแบบความแรงสุทธิที่ปลายทาง ซึ่งความแรงตรงนี้มากกว่าที่คอเกมอยากรู้
จะอย่างไรก็ตามหากมองถึงลูกเล่นทางเทคโนโลยีที่มีการเพิ่มมีการเสริมความสามารถให้กับตัว GPU ที่จะมาช่วยสร้างความสวยงามในรายละเอียดของเกม ให้มีความใกล้เคียงหรือมีความสมจริงมากที่สุด จนอาจจะกล่าวในอีกมุมได้ว่าทาง NVIDIA กำลังทำให้เกมในอนาคตอาจจะมีความสวยงามเทียบเท่าหรือมีความใกล้เคียงกับภาพยนต์ที่มีการใช้ CG มากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องของเฟรมเรตนั้นหากให้ประเมินจากความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว เมื่อดูจากจำนวนของ CUDA Cores ความเร็วการทำงานของ GPU และการใช้แรมในแบบ GDDR6 มันก็ยากที่จะเดาเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าเจ้า RTX 2080 Ti น่าจะมีความแรงมากกว่า GTX 1080 Ti ค่อนข้างมากเลยละครับ อาจจะเกือบ 50% เลยก็เป็นได้หรืออย่างน้อย ๆ แล้วต้องได้ 25%+ อย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ 5 เท่าตามข่าวลือแน่นอน นอกจากจุดที่ได้กล่าวไปแล้วอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ส่วนตัวคิดว่ามันจะแรงขึ้นอีกเกือบ ๆ 50% เพราะเมื่อดูจากระดับของการใช้พลังงานที่ทาง NVIDIA ไม่ได้ปรับลดให้มันต่ำลงไปจากการ์ดในตระกูล Pascal แต่ยังเลี้ยงไว้ในระดับเดิม ๆ ดังนั้นจึงทำให้มันน่าจะแรงขึ้นแบบก้าวกระโดดพอสมควร และอีกหนึ่งจุดสุดท้ายที่ใช้ประเมินก็คือ เมื่อมองจากตัวอย่างที่มีการเล่นเกมในระดับ 4K และบอกว่ามันทำเฟรมเรตได้ในช่วงประมาณ 87FPS ตรงนี้ดู ๆ แล้วก็เหมือนกับว่ามันดีขึ้นจาก GTX 1080 Ti ในระดับ 50% เพราะโดยมากจากเกมในยุคนี้หากใช้ 1080 Ti เล่นเกมในระดับ 4K เฟรมเรตที่ออกมาจะอยู่ในช่วงประมาณ 40-50FPS เป็นหลัก มีเพียงบางเกมเท่านั้นที่สามารถทำได้เกินกว่า 60FPS แต่จะอย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ผมเอ่ยไปตรงนี้เป็นเพียงการประเมินหรือการคาดเดาเท่านั้น เรายังจะต้องรอดูของจริงกันต่อไป ซึ่งเราจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนที่สุดก็หลังจากวันที่ 20 กันยายนนี้นั่นเอง ยังไงแล้วใครที่รอจะเป็นเจ้าของกันอยู่ก็อดทนรออีกหน่อยละกันครับ อีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้นเอง
สุดท้ายกับเรื่องของราคานั้น เบื้องต้นจาก Live vdo ที่ผมได้ทำการนำเสนอไปในช่วงเปิดตัว ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเลยนะครับที่มีความสับสนเล็กน้อยจากข้อมูลในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากว่าฟังไม่ถนัดและไม่ได้มีสมาธิกับตัววิดีโอของทาง NVIDIA แบบเต็ม 100% ซึ่งหากถามว่าราคาการ์ดที่ทาง CEO แจ้งมาบนสไลด์ว่าเริ่มต้นที่ $499USD สำหรับ RTX 2070 มันก็ถูกต้องแน่นอน แต่ทว่ามันจะเป็นราคาของการ์ดในแบบ Ref จากทาง NVIDIA และไม่ใช่เวอร์ชัน FE เพียงแต่มีหน้าตาเหมือนกัน หากเป็นเวอร์ชัน FE จะมีราคาที่สูงกว่า $100US ซึ่งเป็นการ์ดในเวอร์ชัน Overclock จากโรงงาน ส่วนในตลาดจะมี Ref ออกจำหน่ายด้วยหรือไม่ จะมีเจ้าไหนนำการ์ด Ref ตัวไม่ OC มาขายด้วยหรือเปล่า อันนี้คงต้องรอลุ้นกันเอง แต่ถ้าหากเป็นการ์ดในแบบ Non-Ref จากผู้ผลิตรายต่าง ๆ นั้นเราคงไม่ได้เห็นตัวเลข $499US หรือประมาณ 16,xxx บาทแน่นอน หากมองจากที่เคยเป็นมา เพราะอย่างไรแล้ว Non-Ref จากคู่ค้าของทาง NVIDIA ก็จะมีราคาสูงกว่าการ์ด Ref เสมอ ๆ ดังนั้นสำหรับราคาขายจริงในบ้านเราจะออกมาในรูปไหน จะบวกไปอีกเท่าไหร่ ประเด็นนี้ก็คงจะต้องลุ้นกันต่อไปเช่นกัน ส่วนวิดีโอนำเสนอในช่วงเปิดตัวสามารถรับชมย้อนหลังได้ด้านล่างเลยนะครับ




อ้างอิง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น